ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งจักษุ ตามที่เป็นจริง, เมื่อไม่รู้ไม่เห็นซึ่ง รูปทั้งหลายตามที่เป็นจริง, เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งจักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง, เมื่อไม่รู้จักขุสัมผัสตามที่เป็นจริง, เมื่อไม่รู้ไม่เห็นซึ่งเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริงแล้ว ;-
เขาย่อมกำหนัดในจักษุ, กำหนัดในรูปทั้งหลาย, กำหนัดในจักขุวิญญาณ, กำหนัดในจักขุสัมผัส, และกำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม. เมื่อบุคคลนั้นกำหนัดแล้ว ติดพันแล้ว ลุ่มหลงแล้ว จ้องมองต่ออัสสาทะอยู่, ปัจจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความก่อเกิดต่อไป ; และตัณหาของเขาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา ; ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม้ทางกาย ย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา, ความกระวนกระวาย แม้ทางจิตย่อมเจริญ ถึงที่สุดแก่เขา ; ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกายย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา, ความแผดเผา แม้ทางจิต ย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา. ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกายย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา, ความเร่าร้อน แม้ทางจิตย่อมเจริญถึงที่สุดแก่เขา. บุคคลนั้นย่อมเสวยซึ่งความทุกข์อันเป็นไปทางกายด้วย, ซึ่งความทุกข์อันเป็นไปทางจิตด้วย.
(ตรัสอย่างเดียวกันนี้ใน โสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กาย และมโน)
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ น.๒๑๓ -๒๑๕.