ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งตัณหา แก่พวกเธอทั้งหลาย คือตัณหา ซึ่งเป็นดุจมีข่ายเครื่องคลุมสัตว์ มีปรกติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะ เกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง โลกนี้อันตัณหายึดโยงไว้ ห่อหุ้มไว้เป็นเหมือนกลุ่มด้าย ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่งของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปมพันกัน ยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะและหญ้าปัพพชะ ย่อมไม่ล่วงพ้นซึ่งสังสารวัฏฏ์ที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได้. พวกเธอทั้งหลาย จงฟังข้อความนั้น, จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าว บัดนี้.
ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า :–
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ตัณหาเป็นอย่างไรเล่า จึงชื่อว่าเป็นดุจมีข่ายเครื่องคลุมสัตว์ มีปกติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง โลกนี้อัณตัณหายึดโยงไว้ ห่อหุ้มไว้ เป็นเหมือนกลุ่มด้ายยุ่ง ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่งของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม พันกันยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะและหญ้าปัพพชะ ย่อมไม่ล่วงพ้นซึ่งสังสารวัฏฏ์ ที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได้.
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ น.๑๐๑ -๑๐๒